วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

กิจกรรมที่ 2


ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์
     คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยในทุก ๆ สาขาวิชา ดังนั้นโครงงานคอมพิวเตอร์จึงมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ทั้งในลักษณะของเนื้อหา กิจกรรม และลักษณะของประโยชน์หรือผลงานที่ได้ ซึ่งอาจแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภท คือ

     1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)
     2. โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
     3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)
     4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน (Application)
     5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)


1.โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)

     เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดยการสร้างโปรแกรมบทเรียน หรือหน่วยการเรียน ซึ่งอาจจะต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวน และคำถามคำตอบไว้พร้อม ผู้เรียนสามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่ม การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยนี้ ถือว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์การสอน ไม่ใช่เป็นครูผู้สอน ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบ Online ให้นักเรียนเข้ามาศึกษาด้วยตนเองก็ได้
     โครงงานประเภทนี้สามารถพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการสอนในวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสาขาคอมพิวเตอร์ วิชาคณิตศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสังคม วิชาชีพอื่น ๆ ฯลฯ โดยนักเรียนอาจคัดเลือกหัวข้อที่นักเรียนทั่วไปที่ทำความเข้าใจยาก มาเป็นหัวข้อในการพัฒนาโปรแกรมบทเรียน ตัวอย่างเช่น โปรแกรมสอนวิธีการใช้งาน ระบบสุริยะจักรวาล โปรแกรมแบบทดสอบวิชาต่าง ๆ



         
2.โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
         
     เป็นโครงงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือมาใช้ช่วยสร้างงานประยุกต์ต่าง ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นในรูปซอฟต์แวร์ ตัวอย่างของเครื่องมือช่วยงาน เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป ซอฟต์แวร์พิมพ์งาน ซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ เป็นต้น สำหรับซอฟต์แวร์เพื่อการพิมพ์งานนั้นสร้างขึ้นเป็นโปรแกรมประมวลผลภาษา ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้เราใช้งานในงานพิมพ์ต่าง ๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นไปได้โดยง่าย ซึ่งรูปที่ได้สามารถนำไปใช้งานต่าง ๆ ได้มากมาย สำหรับซอฟต์แวร์ช่วยในการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ ใช้สำหรับช่วยในการออกแบบสิ่งของต่าง ๆ เช่น โปรแกรมประเภท 3D



         
3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)
 
     เป็นโครงงานใช้คอมพิวเตอร์ในการจำลองการทดลองของสาขาต่าง ๆ เป็นโครงงานที่ผู้ทำต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จจริงและแนวความคิดต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งในเรื่องที่ต้องการศึกษา แล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจำลอง หลักการ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสมการ สูตร หรือคำอธิบายก็ได้ พร้อมทั้งนำเสนอวิธีการจำลองทฤษฎีด้วยคอมพิวเตอร์ การทำโครงงานประเภทนี้มีจุดสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีความรู้เรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่าง เช่น การทดลองเรื่องการไหลของเหลว การทดลองเรื่องพฤติกรรมของปลาอโรวาน่า ทฤษฎีการแบ่งแยกดีเอ็นเอ เป็นต้น




4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน(Application)

     เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน เช่น ซอฟต์แวร์สำหรับการออกแบบและตกแต่งอาคาร ซอฟต์แวร์สำหรับการผสมสี ซอฟต์แวร์สำหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานงานประเภทนี้จะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสร้างใหม่หรือปรับปรุงดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มี ประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ได้ โครงงานลักษณะนี้จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบ และพัฒนาสิ่งของนั้น ๆ ต่อจากนั้นต้องมีการทดสอบการทำงานหรือทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ โครงงานประเภทนี้นักเรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม และเครื่องมือต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจใช้วิธีทางวิศวกรรมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในการพัฒนาด้วย




5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)
         
     เป็นโครงงานพัฒนาซอฟต์แวร์เกมเพื่อความรู้ และ/หรือ ความเพลิดเพลิน เช่น เกมหมากรุก เกมหมากฮอส เกมการคำนวณเลข ซึ่งเกมที่พัฒนาขึ้นนี้น่าจะเน้นให้เป็นเกมที่ไม่รุนแรง เน้นการใช้สมองเพื่อฝึกคิดอย่างมีหลักการ โครงงานประเภทนี้จะมีการออกแบบลักษณะและกฎเกณฑ์การเล่น เพื่อให้น่าสนใจเก่ผู้เล่น พร้อมทั้งให้ความรู้สอดแทรกไปด้วย ผู้พัฒนาควรจะได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเกมต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วไปและนำมาปรับปรุงหรือพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อให้ป็นเกมที่แปลกใหม่ และน่าสนใจแก่ผู้เล่นกลุ่มต่าง ๆ




         วิดีโอประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์




อ้างอิงข้อมูลจาก :

กิจกรรมที่ 1




โครงงานคอมพิวเตอร์ 

     หมายถึง กิจกรรมการเรียนที่นักเีรียนมีอิสระในการเลือกศึกษาปัญหาที่ตนเองสนใจ โดยจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม โดยใช้ความรู้ทางกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน เรื่องที่นักเรียนสนใจและคิดจะทำโครงงาน ซึ่งอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่นักพัฒนาโปรแกรมได้เคยค้นคว้าและพัฒนาแล้ว นักเรียนสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษา ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข


Cr.https://www.ethos3.com/2014/07/how-to-brainstorm-creative-ideas-33-tips-in-140-characters-or-less/

ความสำคัญของการทำโครงงานคอมพิวเตอร์

     โครงงานคอมพิวเตอร์ คือ ผลงานที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าตามความสนใจ ความถนัดและความสามารถของผู้เรียน โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โครงงานจึงเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยผู้เรียนจะหาหัวข้อโครงงานที่ตนเองสนใจ รวมทั้งเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ และความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสร้างผลงานตามความต้องการได้อย่างเหมาะสม โดยมีครูเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำ
ความสามารถที่เกิดจากการทำโครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ 5 ประการ ดังนี้
1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถที่เกิดจากการที่นักเรียนเป็นผู้ทำโครงงานต้องนำเสนอผลงานให้ ครูและเพื่อนนักเรียนให้เข้าใจโครงงานคอมพิวเตอร์ได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ผู้ทำโครงงานต้องสื่อสารความคิดในการสร้างสรรค์โครงงานด้วยการเขียน หรือด้วยปากเปล่า รวมทั้งเลือกใช้รูปแบบของสื่ออย่างมีประสิทธิภาพเพื่อนำเสนอแนวคิดในการจัด โครงงานให้ผู้อื่นได้เข้าใจ
2. ความสามารถในการคิด ซึ่งผู้เรียนจะมีการคิดในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

  1. การคิดวิเคราะห์ เกิดจากการที่ผู้เรียนต้องวิเคราะห์ปัญหาและแยกแยะสาเหตุว่าเกิดเนื่องจากอะไร
  2. การคิดสังเคราะห์ เกิดจากการที่ผู้เรียนต้องนำความรู้ต่าง ๆ ที่เรียนมา รวมทั้งความรู้จากการค้นหาข้อมูล เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาหรือการสร้างสรรค์โครงงาน
  3. การคิดอย่างสร้างสรรค์ เกิดจากการที่ผู้เรียนนำความรู้มาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ
  4. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ เกิดจากการที่ผู้เรียนได้มีการคิดไตร่ตรองว่าควรทำโครงงานใดและไม่ควรทำโครง งานใด เนื่องจากโครงงานที่สร้างขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม เช่น โครงงานระบบคำนวณเลขหวย สำหรับหาเลขที่คาดว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลจะออกในแต่ละงวด อาจส่งผลกระทบต่อสังคม ทำให้คนในสังคมเกิดความหมกมุ่นในกับการใช้เงินเล่นหวยมากขึ้น
  5. การคิดอย่างเป็นระบบ เกิดจากการที่ผู้เรียนคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน โดยใช้ขั้นตอนในการพัฒนาโครงงาน คือ ผู้เรียนเป็นผู้วางแผนในการศึกษา ค้นคว้า เก็บรวบรวมข้อมูล พัฒนา หรือประดิษฐ์คิดค้นผลงาน รวมทั้งการสรุปผลและการนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยมีผู้สอนและผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ให้คำปรึกษา
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เกิดจากการที่ผู้เรียนวิเคราะห์ปัญหา เข้าใจ และอธิบายปัญหาทางด้านคอมพิวเตอร์ รวมทั้งประยุกต์ความรู้ ทักษะ และการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เกิดจากการที่ผู้เรียนได้นำความรู้และกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการพัฒนาโครงงาน และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการพัฒนาโครงงาน ก่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง อันนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เกิดจากการที่ผู้เรียนสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการแก้ปัญหาได้ อย่างถูกต้องเหมาะสม และมีคุณธรรม

Cr.http://www.innoweo.com/news/post-brainstorming-session-survival-plan/

ขอบข่ายของโครงงาน

มีองค์ประกอบดังนี้                                                      1. เป็นกิจกรรมการเรียนให้นักเรียนศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติดัวยตนเองโดยอาศัยหลักวิชาการทางทฤษฎีตามเนื้อหาโครงงานนั้นๆ หรือจากประสบการณ์และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้พบเห็นมากแล้ว    2. นักเรียนทุกคนพิจารณาจัดทำโครงงานด้วยตนเอง หรือเป็นกลุ่มโดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ เป็นภาคเรียน หรือมากว่าก็ได้ แล้วแต่โครงงานเล็กหรือใหญ่                                3. นักเรียนเป็นผู้พิจารณาริเริ่มสร้างสรรค์ คัดเลือกโครงงานที่จะศึกษาค้นคว้าปฏิบัติด้วยตนเองตามความถนัด สนใจ และความพร้อม                                            4. นักเรียนเป็นผู้เสนอโครงงาน รายละเอียดของโครงงาน แผนปฏิบัติงานและการแปลผล รายงานผลต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อดำเนินงานร่วมกันให้บรรลุตามจุดหมายที่กำหนดไว้              5. เป็นโครงงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถของนักเรียนตามวัยและสติปัญญา รวมทั้งการใช้จ่ายเงินดำเนินงานด้วย
Cr.http://www.graciousnaija.com/2016/01/computer-science-seminar-and-project.html




   วิดีโอความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโครงงานคอมพิวเตอร์



   วิดีโอหลักการทำโครงงานคอมพิวเตอร์


อ้างอิงข้อมูลจาก :                                                                                                         http://www.acr.ac.th/acr/ACR_E-Learning/CAREER_COMPUTER/COMPUTER/M4/ComputerProject/content1.html                      https://www.gotoknow.org/posts/314100                                                          https://krudarin.wordpress.com/

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

ใบงานที่ 6 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์


ใบงานที่ 5 บทความสารคดีที่นำมาใช้สำหรับการเขียนโครงร่าง

ใบงานที่ 5 บทความสารคดีที่นำมาใช้สำหรับการเขียนโครงร่าง



 วิธีเพื่อความจำเป็นเลิศ

            สมองซีกซ้ายควบคุมความเป็นเหตุเป็นผลการเรียนรู้ด้านภาษา ตัวเลข วิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ การคิด การวิเคราะห์ ฯลฯ ซึ่งอาจจะรวมได้ว่าเป็นเรื่องของวิชาการ ในขณะที่สมองซีกขวาเป็นศิลปินจินตนาการ ฝันกลางวัน มองภาพตามมิติต่างๆ ฯลฯ 
แต่ สมองทั้งสองซีกก็ทำงานสัมพันธ์กันอย่างยอดเยี่ยมคนที่มีแต่วิชาการ แต่ไม่มีจินตนาการ การทำความเข้าใจวิชาการต่างๆ นั้นย่อมไม่สามารถทำได้สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับคนที่มีแต่จินตนาการ แต่ไม่มีหลักตรรกะจินตนาการนั้นย่อมฟุ้งเฟ้อจนจับต้องไม่ได้

           เมื่อเราเริ่มทำความเข้าใจกับสมองของเรามากขึ้น ทำให้เราทราบว่าแม้ว่าเราใส่โปรแกรมการพัฒนาสมองด้านใดด้านหนึ่งลงไป สิ่งที่เกิดขึ้น คือการพัฒนาของสมองอีกด้านตามไปด้วย ศาสตราจารย์ซาอีเดล ผู้ค้นพบความมหัศจรรย์ ให้ความเห็นว่าสมองทั้งสองซีกมีความสัมพันธ์กันอย่างมาก และดูเหมือนว่าสมองแต่ละซีกจะมีความสามารถของสมองอีกซีกหนึ่งอยู่มากกว่าที่ เคยคาดหมายกันไว้ และประสิทธิภาพของสมองก็อาจกว้างไกลกว่าที่ใครๆ จะคาดคิด

         ความจำในสมองประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ คือความจำระยะสั้นและความจำระยะยาว
-  ความจำระยะสั้น คือ ความจำที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว เมื่อเวลาผ่านไปก็จะลืมสนิท เช่น ถ้าเราได้เบอร์โทรศัพท์มา 1 เบอร์ เลข 10 ตัวเราอาจจะจำได้นานถึง 5 นาที แต่พอได้จดลงในกระดาษ หรือโทรศัพท์มือถือแล้วดราก็จะลืมทันที เพราะว่าเทคโนโลยีทำให้คนเราใช้ความจำน้อยลง
- ความจำระยะยาว คือ ความจำที่อยู่กับเราถาวร เปรียบเสมือนคลังข้อมูลใหญ่ๆที่บรรจุข้อมูลไว้ได้ไม่อั้น ซึ่งความจำระยะยาวของแต่ละคนมีศักยภาพแตกต่างกัน บางคนอาจจำตารางธาตุได้ชั่วชีวิต แต่บางคนจำได้แค่สูตรคูณก็เหนื่อยแล้ว

บริหารสมอง

          ความจำเสื่อมเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อคนเราอายุมากขึ้น คุณสามารถเสริมสร้างความจำให้จดจำข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ โดยการบริหารสมอง "ทุกครั้งที่ได้รับข้อมูลใหม่ ส่วนของเซลล์ความจำที่มีลักษณะปลาหมึกยักษ์จะยื่นออกมา และสร้างโครงข่ายใหม่ทำให้จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้นทุกครั้งที่เรียนรู้"  โดมินิกอธิบาย ดังนั้นเมื่อหยุดให้สมองจดจำข้อมูลใหม่ ๆ เซลล์ความจำก็จะหยุดสร้างโครงข่าย และข้อมูลเหล่านี้ก็จะหายไปในไม่ช้าด้วย "เมื่ออายุมากขึ้น เราผ่านโลกมามากขึ้น และคุ้นเคยกับสิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างดี ทำให้เราหยุดท้าทายสมองตัวเอง"

          ดังนั้นอย่าให้ร่างกายและสมองหยุดนิ่ง ควรทำตัวให้กระตือรือร้นและว่องไว การศึกษาหาความรู้ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ จะช่วยกระตุ้นให้เซลล์สมองได้ทำงานอย่างเต็มที่

ฮอร์โมนเป็นตัวการ
          ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดต่ำลง มีส่วนทำให้ความจำลดความแม่นยำลง นักวิจัยในแคนาดาได้ทดสอบความจำของผู้หญิงที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงภายหลังตัดมดลูกทิ้ง พบว่าความจำแย่กว่าผู้หญิงที่ได้รับฮอร์โมนทดแทนในวัยหมดประจำเดือน (hormone replacement therapy-HRT) เชื่อกันว่า HRT ช่วยป้องกันความจำเสื่อที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไคลฟ์ เอเวอร์แห่ง the Alzheimer’s Society กล่าว "ผู้หญิงที่ได้รับ HRT จะลดความเสี่ยงในการเป็นอัลไซเมอร์เมื่อเข้าสู่วัยชรา"

          หากไม่อยากพึ่งวิธี HRT คุณก็สามารถเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ โดยการกินอาหารที่มีสารของพืช ซึ่งมีคุณลักษณะเหมือนเอสโตรเจน ได้แก่ อาหารจากถั่วเหลือง ลินสีด และถั่ว pulse (คือถั่วที่มีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ สะสมพลังงานในรูปของคาร์โบไฮเดรตและเมล็ดมีแป้งสูง เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ฯลฯ) เป็นแหล่งไฟโตเอสโตรเจน


ควรไปพบแพทย์เมื่อไร
          คนที่ขี้หลงขี้ลืมไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด อย่าเพิ่งตื่นตกใจ ถ้าคุณลืมโน่นลืมนี่เป็นประจำ "ความจำเสื่อมเล็กน้อยไม่ใช่ปัญหา ถ้าไม่ได้เป็นถาวรหรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดจี๊ด ๆ หรือมีความผิดปกติทางสายตา" มาร์ค แอตคินสัน ผู้เชี่ยวชาญของ Health Plus กล่าว "อย่าเพิ่งสันนิษฐานว่าตัวเองเป็นโรคความจำเสื่อม เพราะอาการที่เกิดขึ้นอาจมีสาเหตุมาจากการขาดเกลือแร่และวิตามิน หรือเป็นผลจากยา ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด"

ความจำแย่ ทำยังไงดี

          ถ้าคุณหลงลืมเป็นประจำเช่น จำไม่ได้ว่าวางกุญแจรถไว้ที่ไหน คำพูดติดอยู่ที่ปาก แต่คิดไม่ออก ลืมของไว้ที่ร้าน ต้องย้อนกลับไปเอา หรือลืมชื่อคนอยู่เป็นประจำ เหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณต้องเสริมสร้างความจำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคสมองเสื่อมตามมา "ตามธรรมชาติเมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายก็จะอ่อนแอลง ไม่มีเรี่ยวแรงเหมือนก่อน สมองก็เช่นกัน โดยเฉพาะอาการหลงลืมจะส่งผลต่อความจำระยะสั้น" ดร.โจ อิดดอน ผู้เชี่ยวชาญด้านความจำกล่าว ข่าวดีคือคุณสามารถเสริมสร้างความจำให้เป็นเลิศไทยด้วยวิธีต่อไปนี้

          1. เล่นเกม บริหารสมองและเสริมสร้างความจำด้านสายตา โดยการจ้องวัตถุชิ้นหนึ่งนานประมาณ 2-3 นาที สมมติว่าเป็น แจกันดอกไม้ ให้จดจำแม้กระทั่งรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ จากนั้นวาดสิ่งที่คุณเห็นลงบนกระดาษ (วาดไม่สวยไม่เป็นไร) คราวนี้หวนกลับไปมองที่แจกันอีกครั้ง ดูว่ามีรายละเอียดใดที่คุณวาดตกหล่นไป "ฝึกเช่นนี้เป็นประจำจะช่วยพัฒนาความจำระยะสั้น" โดมินิกบอก

          2. ทำงานอดิเรก "มีหลักฐานระบุว่าคนที่ชอบออกไปพบปะผู้คน หรือไปเที่ยวชมสิ่งที่น่าสนใจนอกบ้าน และทำงานอดิเรกเช่น เล่นครอสเวิร์ด ถัดนิตติ้ง เล่นไพ่บริดจ์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทางเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท แต่ละเซลล์เข้าด้วยกัน (brain connections) ลดโอกาสการเป็นโรคอัลไซเมอร์ลงถึง 1 ใน 3" ไลคฟ์ เอเวอร์ แห่ง the Aizheimer’s Society กล่าว

          3. เคี้ยวหมากฝรั่ง คุณอาจไม่ชอบที่หมากฝรั่งติดหนึบตามทางเท้า แต่การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยให้ความจำดี มหาวิทยาลัยนอร์ธอัมเบรียพบว่า ความสามารถในการจดจำบัญชีคำศัพท์ของอาสาสมัครดีขึ้น 1 ใน 3 เมื่อให้เคี้ยวหมากฝรั่ง

          4. ทานวิตามิน อาหารที่อุดมด้วยวิตามินเอ ซี และอี เช่น ส้มและพริกหวานช่วยให้ความจำดี "อนุมูลอิสระที่อยู่รอบตัวเรา จะไปทำลายเซลล์ประสาทในสมอง ทำให้ความจำเริ่มเลอะเลือน แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วย การกินแอนตี้ออกซิแดนท์เช่น วิตามินเอ ซี และอี" ดร.มาร์ค แอตคินสัน ผู้เชี่ยวชาญของ Health Plus กล่าว

          5. เกมจดจำชื่อ เมื่อได้รับการแนะนำให้รู้จักใครสักคน แค่ผ่านไป 5 นาที คุณลืมชื่อคนคนนั้นแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ ลองทำตามเคล็ดลับของโดมินิก โอเบรียน "คุณต้องเชื่อมโยงชื่อคนกับใบหน้า สมมติคุณเจอคนคนหนึ่งชื่อบิล เพรสตัน และเมื่อคุณเจอเขา คุณคิดว่าเขาคล้ายเซลส์แมนขายรถ (ไม่เป็นไรถึงเขาจะไม่ใช่เซลส์แมนจริง ๆ เพราะสมองของคุณได้ทำการเชื่อมโยงแล้ว) เชื่อมโยงชื่อต้นของเขากับบิล คลินตัน นึกภาพบิล คลินตันอยู่ในโชว์รูมรถ จากนั้นเชื่อมโยงนามสกุลของเขา โดยตัดคำว่า "เพรส" ออกจากคำว่าเพรสตัน นึกภาพบิล คลินตันกำลังเพรสอัพส์ (press-ups) หรือวิดพื้น เมื่อคุณพบเขาในครั้งต่อไป สมองของคุณจะคิดถึงภาพเซลส์แมนขายรถ และภาพโชว์รูมรถที่มีบิล คลินตันวิดพื้นอยู่ ทีนี้คุณก็จำชื่อของเขาได้แล้ว

          6. การรักษาแผนโบราณ โสมเป็นยาจีนที่ใช้ชะลอความเสื่อมของเซลล์มานานหลายศตวรรษ อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้เผยว่า โสมช่วยฟื้นฟูความจำของคนป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ที่มีอาการสมองเสื่อมให้ดีขึ้น นั่นเพราะโสมช่วยกระตุ้นการสร้างสารเคมีบางอย่างในสมอง ที่ช่วยฟื้นฟูความจำ

          7. เทคนิคการจำตัวเลข กี่ครั้งแล้วที่บัตรเอทีเอ็มถูกเครื่องกลืนไป เพราะจำรหัสผิด โดมินิก โอเบรียนแนะให้ใช้ภาพแทนตัวเลข "เช่น สมมติรหัสเอทีเอ็มของคุณคือเลข 2581 ให้นึกเรื่องราวในธนาคาร หงส์ (2) ตัวหนึ่งเข้าวิ่งไล่งู (5) เข้าไปในธนาคาร พนักงานธนาคารคือสโนว์แมน (8) ถือเสาธง (1) โบกไปมา ยิ่งเรื่องที่จินตนาการเหลวไหลเท่าไร คุณก็ยิ่งจำได้มากขึ้นเท่านั้น" โดมินิกบอก คุณสามารถนำวิธีนี้มาประยุกต์ใช้กับการจำเบอร์โทรศัพท์ เบอร์โรงพยาบาล และหมายเลขกรมธรรม์

          8. กินน้ำมันปลา ปลาเป็นอาหารบำรุงสมอง การศึกษาของศูนย์การแพทย์เซนต์ลุค ชิคาโกพบว่าการกินน้ำมันปลา (เช่น ปลาแมคเคอเรล, ซาร์ดีน, แซลมอนและปลาทูน่าสด) ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์

         9. ไปซูเปอร์มาร์เก็ต โยนใบรายการซื้อของทิ้งไป หันไปใช้วิธีจำของที่ต้องซื้อโดยนึกภาพของที่จะซื้อเป็นการเดินทาง โดมินิก โอเบรียนอธิบาย "นึกภาพการเดินทางที่คุ้ยเคยในหัว อาจเป็นการเดินไปทำงานหรือไปห้องสมุด นึกภาพจุดแวะ 10 จุดระหว่างการเดินทาง จุดแวะแต่ละจุดคือภาพของที่ต้องซื้อ ตัวอย่างเช่น ขนมปัง 1 แถวกำลังยืนคอยอยู่ที่ป้ายรถเมล์ และมีชามส้มตั้งอยู่บนทางม้าลาย ทีนี้เมื่อคุณเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต ให้นึกภาพการเดินทางในหัวของคุณ เพื่อจดจำรายการสิ่งของที่ต้องซื้อ เริ่มจากของ 10 อย่างก่อน เมื่อคุณจดจำได้ดีขึ้นแล้ว จึงค่อยเพิ่มรายการของให้มากขึ้น

          10. นอนให้เพียงพอ นักวิทยาศาสตร์ในเบลเยี่ยมค้นพบว่า การนอนหลับอย่างเพียงพอช่วยให้สมองสามารถเก็บข้อมูลใหม่ ๆ ไว้ในความจำ เพื่อจะได้นำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ในอนาคต ดังนั้นควรนอนหลับให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง

          11. สมุนไพรช่วยได้ น้ำมันหอมระเหยกลิ่นโรสแมรีช่วยให้คุณสามารถจดจำสิ่งที่ลืมไปแล้ว ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยนอร์ธอัมเบรียพบว่า คนที่ดมกลิ่นโรสแมรีจะรู้สึกกระฉับกระเฉงว่องไว สามารถจดจำเรื่องราวได้ต่าง ๆ ได้มาขึ้น 15% ลองหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นโรสแมรี 2-3 หยดลงในอ่างอาบน้ำ หรือจะจุดตะเกียงน้ำมันหอมระเหยก็ได้

สมองฝึกได้ 
ถ้าจู่ๆ สมองคุณเกิดไม่จดจำสิ่งที่ต้องจำขึ้นมา ไม่ต้องตกใจเพราะยอด อัจฉริยะอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์(ค.ศ.1789-1955) รู้มานานแล้วว่าสมองของ คนเรานั้นมีรูบแบการทำงานเหมือนกล้ามเนื้อทั่วไป ดังนั้นเราจึงสามารถฝึก สมองได้เหมือนกับการฝึกกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆข้อเท็จจริงนี้ได้รับการยืนยัน แล้วจากผลการวิจัยหลายครั้งตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา 

           1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์

เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

          2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน 

ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

          3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที 

เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Thet a ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)

          4. ใส่ความตั้งใจ

การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

         5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ 

ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและ หวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

         6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน

สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

         7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน

ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง
         
         8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ

ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

         9. ฝึกหายใจลึกๆ

สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์


อาหารบำรุงสมอง เพิ่มประสิทธิภาพเสริมความจำ

1. ไข่

ในทุกบ้านย่อมมีไข่ติดไว้เสมอ เนื่องจากหาซื้อได้ง่าย และสามารถทำอาหารได้หลากหลายเมนู หากไม่รู้จะกินอะไร ไข่ มักจะเป็นสิ่งแรกที่นึกถึงเสมอ คิดอย่างนี้ได้ก็ดีแล้วล่ะ เพราะในไข่มีสารตัวหนึ่งชื่อว่า “โคลิน” ซึ่งช่วยในการพัฒนาระบบการทำงานของสมอง ดังนั้นอย่าลืมกินไข่กันด้วยล่ะ วันละ 2 ฟองกำลังดีเลย แต่ใครที่มีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอล อาจจะต้องลดไข่แดงหน่อยนะ

2. ปลา

“กินปลาเยอะๆ จะได้ฉลาด” คำนี้ที่เราได้ยินกันมาตั้งแต่เด็ก บอกเลยว่า มันคือเรื่องจริง เราควรกินปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาทู อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพราะในปลาทะเลน้ำลึกมีกรดไขมันและโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยบำรุงเซลล์สมองและเสริมสร้างผนังเซลล์ประสาทในสมองของเราให้แข็งแรง ปลามีหลากหลายชนิด อย่ากินแค่ชนิดเดียวล่ะ จะได้ป้องกันสารพิษที่อาจอยู่ในเนื้อปลาได้

3. ถั่ว

ถั่ว อาหารว่างสุดโปรดของใครหลายคน เช่น อัลมอนด์ ฮาเซลนัท หรือจะเป็นถั่วลิสงที่เราคุ้นเคยกันดี ใครที่ไม่ชอบกิน ลองหันมากินดูนะ เพราะในถั่วมีไขมันดี โปรตีนเยอะ ไฟเบอร์สูง  แถมยังมีวิตามินอีซึ่งช่วยในเรื่องกระบวนการคิด ความจำ และวิตามินบี1 ที่ช่วยบำรุงสมอง ทำให้สมองของเราแข็งแรง รู้อย่างนี้ ไม่ลองไม่ได้แล้ว

4. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

การทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ไม่ว่าจะเป็น สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ นอกจากจะทำให้เราสดชื่นแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพสมองของเราให้มีระดับไอคิว และกระบวนการคิดดีขึ้น พร้อมทั้งช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองได้ดี และปรับความดันเลือดให้สมดุล เอามาทานเป็นอาหารว่างระหว่างวันก็ไม่เลวนะ 

5. ช็อคโกแลต

แค่พูดชื่อก็อยากกินซะแล้วสิ  ใครจะรู้ว่าในช็อคโกแลตที่เรากินกันอยู่บ่อยๆ นอกจากเรื่องความอร่อยแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดดีขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองให้ทำงานดีขึ้นด้วย  รู้แล้วอยากออกไปซื้อเลย แต่ก็อย่ากินมากเกินไปล่ะ กินแค่พอดี เพราะมีแคลอรี่สูงเหมือนกันนะ เดี๋ยวจะอ้วนเอา ถ้าเอาให้ดีเลือกดาร์คช็อคโกแลตที่มีปริมาณน้ำตาลต่ำก็จะดียิ่งขึ้น

6. ผักโขม 

ช่วย ลดอาการความจำเสื่อมโดยเฉพาะในผู้หญิง.. มีการวิจัยพบว่าหญิงวัยกลางคนที่รับประทานผักโขมร่วมกับผักใบเขียวชนิดอื่นๆ เป็นประจำ ...ช่วยลดอาการความจำเสื่อมไปได้ถึง 2 ปี ผัก โขมมีเอนไซม์ที่ดีต่อความแข็งแกร่งของปลายเซลล์ประสาท และเสริมความแข็งแรงตัวรับส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาท ทั้งยังมีกรดโฟลิกสูงที่ดีต่อการจำ ช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย นักประสาทวิทยาแนะนำให้กินผักโขมอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะผักโขมที่ปลูกแบบออร์แกนิก ซึ้งไร้สารพิษตกค้าง 

7. อาหารแบบเมดิเตอร์ริเนียน 

ที่ เน้นน้ำมันมะกอก สุดยอดน้ำมันที่สกัดจากพืชโอเมก้า 3 ที่ดีต่อสมองในปริมาณสูง เป็นส่วนประกอบสำคัญ ส่วนผสมอื่นๆ ของอาหารปะเภทนี้จะเน้นผักและผลไม้ โดยเฉาะมะเขือเทศ ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสมอง... และลดอาการสมองเสื่อมได้ คนที่บริโภคแบบเมดิเตอร์ริเนียนนี้เป็นประจำจะช่วยลดอัตราการเป็นโรคความจำ เสื่อม... หรือหลงลืมได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์

8. แครอท 

หาก ต้องการกระตุ้นให้สมองทำงานอย่างสดชื่นแบบเร่งด่วน ...ควรรับประทานผลไม้สด โดยเฉพาะแครอทสด โดยรับประทานอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยกระตุ้นให้มีความจำที่ดีได้ 

9. อาหารประเภทธัญพืช 

เช่น เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดงา... เมล็ดแฟลกซ์ ที่มีโปรตีนสูง มีไขมันดี และวิตามินเอสูง ขณะเดียวกันก็มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มสารอาหารกระตุ้นสมองอย่าง... แมกนีเซียม ทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองได้ดี เต็มไปด้วยเส้นใยอาหาร... มีปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม รวมทั้งยังมีโอเมก้าสูง และจะดีมากหากรับประทานเป็นอาหารเช้า เพื่อเพิ่มพลังในวันใหม่ 

10. แอปเปิล 

การดื่มน้ำแอปเปิลวันละประมาณ 2 แก้ว ...หรือรับประทานแอปเปิลวันละ 2-3 ลูก มีส่วนช่วยเพิ่มการสร้างสื่อประสาทใบสมองที่มีชื่อว่า " อะเซทิลโคลีน ” ... ซึ่งเป็นตัวกำหนดความสามารถเรียนรู้ในการจำ และการเรียนรู้ ...และยังเพิ่มประสิทธิภาพความจำของสมองส่วนฮิปโปแคมปัส จึงช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อมได้ 

11. แปะก๊วย 

เป็น พืชสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคสมองเสื่อม ...โรคซึมเศร้า อาการหลงๆลืมๆจึงนิยมแนะนำให้ใช้เพื่อปรับปรุงระบบไหลเวียนโลหิตในสมอง เพราะเมื่อสมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ย่อมเสื่อมสมรรถภาพและฝ่อไปในที่สุด ส่งผลต่อการกระทำงานและประสิทธิภาพของสมอง.. และยังมีการสกัดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร.. เพื่อบำรุงสมองอีกด้วย

อาหารเหล่านี้หาได้ไม่ยากเลย สมองของเราถ้าเราไม่ดูแลก็ไม่มีใครช่วยได้ สำหรับคนที่ชอบคิดมาก สมองก็ยิ่งทำงานหนักขึ้นไปอีก ดังนั้นเพื่อสมองที่ดีและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หันมาทานอาหารบำรุงสมองและมองโลกในแง่ดีกันเถอะ

แหล่งอ้างอิง : 
http://health.kapook.com/view10210.html
http://shortmemory108.blogspot.com/
http://www.prd.go.th/ewt_news.php?nid=59667
http://health.sanook.com/4097/


วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สรุปวิชาคณิตศาสตร์ PAT1



http://tutoroui-plus.com/Mathematics_m4-m6/photo/

วีดีโอสรุปวิชาคณิตศาสตร์ PAT1 สอนโดย อ.ภาคภูมิ อร่ามวารีกุล หรือพี่แท๊ป วีดีโอชุดนี้มีความยาวทั้งหมด 1:55 ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 4 ตอนจบ ในช่วงต้นของวีดีโอพี่แท๊ปได้อัพเดทข้อมูลสำคัญในการสอบ PAT1 ครั้งนี้ด้วย 
downloadเอกสารประกอบการเรียนได้ที่http://www.tewfree.com
  1. แจ้งเพื่อทราบ – ข้อสอบ PAT1 ปีนี้จะมี 45 ข้อ ซึ่งจะมีส่วนที่เป็นชอยส์ 30 ข้อ ข้อละ 6 คะแนน และเติมคำตอบ 15 ข้อ ข้อละ 8 คะแนน ใช้เวลาเท่าเดิมคือ 3 ชั่วโมง
  2. ใช้เอกสารประกอบการเรียนให้เข้าใจ
  3. เลือกอ่านให้ได้ผลที่สุด — เนื้อหาที่ออกสอบ PAT1 มีทั้งหมด 16 บท ซึ่งมันเยอะและก็อาจจะไม่ไหว แต่พี่ก็แนะนำให้น้องอ่าน 6 บทที่ออกเยอะและคิดว่าไหวด้วยกันคือ
    1. ระบบจำนวนจริง
    2. Expo-Log
    3. ความน่าจะเป็น
    4. ลำดับ-อนุกรม
    5. แคลคูลัส
    6. สถิติ
ซึ่งหกบทนี้สามารถครอบคลุมข้อสอบได้ถึงประมาณ 50% โดยอ้าอิงจากสถิติข้อสอบในปีก่อนๆ ซึ่งในวันนี้พี่ก็ตั้งใจจะมาเน้นใน 4 บทหลังนี้ครับ เราจะมาลุยกันในเรื่องความน่าจะเป็น ลำดับ-อนุกรม แคลคูลัส และสถิติ
PAT1 [1/4]

PAT1 [2/4]


PAT1 [3/4]


PAT1 [4/4]



วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ใบงานที่ 2: ความรู้เรื่อง Blog



What is Blog?
Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)
ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง

จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง

ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq

เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจากการเขียนเป็นงานอดิเรกของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูลตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนกระทั่งเรื่องราวของการประชุมระดับชาติ
และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ , โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ที่สำคัญอย่างแท้จริง
สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ที่มีรูปแบบเนื้อหาเป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย


เริ่มต้นทำ Blog ได้อย่างไร?
เราสามารถที่จะทำ Blog ฟรีได้  โดยขอใช้บริการจากเว็บไซต์ผู้ให้บริการ Blog ต่างๆ โดยต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อน แล้วผู้ให้บริการจะแนะนำวิธีการใช้งานให้เราเองค่ะ
ผู้ให้บริการ Blog ของไทยที่เป็นที่นิยมได้แก่

  • BlogGang.com จาก Pantip
  • http://www.bloggang.com/register.html
  • Blogger.com จาก Google
  • http://www.blogger.com  (อ่านคำแนะนำได้ที่ blog นี้ค่ะ http://2talkbig.blogspot.com)
  • WordPress.com จาก WordPress
  • http://www.wordpress.com

ข้อดีและข้อเสียของ Blog
ข้อดี
- มีอิสระที่จะนำเสนอสิ่งต่างๆ (ที่ไม่ไปก้าวล่วงบุคคลอื่น และไม่ผิดกฎกติกาของผู้ให้บริการ Blog)
- เปิดโอกาสให้เจ้าของ Blog ได้รับฟังความคิดเห็นของผู้เข้าชมและโต้ตอบกลับได้อย่างอิสระ
- ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านภาษาโปรแกรมต่างๆ
- หากพอมีความรู้ด้านภาษาเว็บพื้นฐาน (HTML) จะสามารถช่วยทำให้เข้าไปแก้ไข Source Code ได้
เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบ Template ของ Blog ตามต้องการ
- สามารถใช้ Blog ในการทำธุรกิจหารายได้ จากการโปรโมทสินค้าหรือบริการ
- สามารถใช้สร้างเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้
ใช้งานได้ฟรี!! ไม่เสียค่าใช้จ่าย (ยกเว้นต้องการจด Domain Name เป็น .com .net .org .info)
- มี Template ให้เลือกใช้มากมาย (ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน)
- Server มีความเสถียรสูง ปัญหาในด้านความช้า หรือ Server ล่ม พบน้อยมาก

ข้อเสีย
- ฟังก์ชั่นและลูกเล่นต่างๆ ยังมีน้อยหากเทียบกับเว็บไซด์ที่สร้างเองหรือเว็บไซด์สำเร็จรูป
- แม้มีรูปแบบ Template ให้เลือกใช้มากมายแต่โครงสร้างเว็บก็ยังคงค่อนข้างตายตัว
- เนื่องจากเป็นบริการให้ใช้ฟรี หากเราทำผิดกฎของผู้ให้บริการ Blog เราจะถูกแบน และมีโอกาส
ถูกลบ Blog ได้ (แต่ถ้าไม่ได้ทำผิดกฎอะไร ก็อยู่ได้อย่างยาวนานจนกว่าผู้บริการจะเลิกให้บริการ)



How to start a Blog



https://www.youtube.com/watch?v=2y0IAhqtsjw


วิธีเปลี่ยนรูปเมาส์ในบล็อก

1. เข้าไปที่เว็บ http://www.cursors-4u.com 
2. เลือกแบบเมาส์ที่ต้องการ โดยเมนูจะอยู่ด้านซ้ายมือ
3. เมื่อได้แบบของเมาส์ที่ต้องการแล้วก็คลิกเข้าไป
4. ไม่ต้องกดดาวน์โหลด ให้หาแท๊บที่เขียนว่า blogger/blogspot แบบในรูป แล้วคลิกเข้าไป
5.ให้ coppy โค้ดจากช่องล่างที่เขียนว่า new blogger/blogspot interface ตามรูป

6. เข้าไปที่ blog ของตนเอง เลือกแม่แบบแล้วกดตรง "แก้ไขHTML"
7. จากรูปด้านล่างในรูป ให้เอาโค้ดที่เรา copy มาวางลงตรงนั้นเลย จากนั้นก็กดบันทึกเทมเพลต